เนื้อในเบื้องลึก Microprocessor , Part I : Control Unit
ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) คือหน่วยประมวลผลที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ โครงสร้างหลักของไมโครโปรเซสเซอร์ประกอบด้วยหลายส่วนที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- หน่วยควบคุม (Control Unit: CU)
หน้าที่หลักของหน่วยควบคุมคือการจัดการการไหลของข้อมูลระหว่างส่วนต่าง ๆ ของไมโครโปรเซสเซอร์ รวมถึงการถอดรหัสคำสั่งและการส่งสัญญาณควบคุมเพื่อกำหนดการทำงาน เช่น การโหลดข้อมูลหรือการเขียนผลลัพธ์ - หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit: ALU)
หน่วย ALU ทำหน้าที่ในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และการทำงานทางตรรกะ เช่น AND, OR, XOR, NOT นอกจากนี้ยังใช้ในการเปรียบเทียบข้อมูล เช่น การตรวจสอบว่าเท่ากันหรือไม่ - รีจิสเตอร์ (Registers)
รีจิสเตอร์เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวระหว่างการประมวลผล เช่น คำสั่งที่กำลังทำงาน ข้อมูลนำเข้า และผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ - หน่วยความจำภายใน (Internal Memory)
ภายในไมโครโปรเซสเซอร์จะมีหน่วยความจำต่าง ๆ เช่น Cache Memory ซึ่งมีความเร็วสูงและทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานบ่อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน - บัส (Bus System)
บัสคือช่องทางการสื่อสารที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่าง ๆ ของไมโครโปรเซสเซอร์ รวมถึงการเชื่อมต่อกับหน่วยความจำและอุปกรณ์ภายนอก - หน่วยจัดการหน่วยความจำ (Memory Management Unit: MMU)
MMU ช่วยจัดการการเข้าถึงหน่วยความจำและแปลงที่อยู่เสมือน (Virtual Address) ไปเป็นที่อยู่จริง (Physical Address) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและการจัดการหลายงานในระบบ - ระบบนาฬิกา (Clock System)
ระบบนาฬิกาควบคุมความเร็วในการประมวลผลของไมโครโปรเซสเซอร์ โดยสัญญาณนาฬิกาจะกำหนดจังหวะการทำงาน เช่น 2 GHz หมายถึงไมโครโปรเซสเซอร์สามารถทำงานได้ 2 พันล้านรอบในหนึ่งวินาที - อินเตอร์เฟซสำหรับการเชื่อมต่อภายนอก (External Interfaces)
ไมโครโปรเซสเซอร์สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ หรือจอภาพผ่านพอร์ต I/O และยังสามารถรับสัญญาณขัดจังหวะ (Interrupt) ที่ทำให้ไมโครโปรเซสเซอร์ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทันที
โครงสร้างของไมโครโปรเซสเซอร์ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ซึ่งทำให้ไมโครโปรเซสเซอร์เป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน
Part I : หน่วยควบคุม (Control Unit: CU)
Control Unit (CU) หรือหน่วยควบคุมในไมโครโปรเซสเซอร์ เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เหมือน “ผู้จัดการ” ที่คอยสั่งงานและควบคุมทุกส่วนในระบบให้ทำงานได้ตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ หน่วยควบคุมจะจัดลำดับการทำงาน เช่น การดึงคำสั่งจากหน่วยความจำ ถอดรหัสคำสั่ง เพื่อเข้าใจว่าต้องทำอะไร จากนั้นส่งคำสั่งไปยังส่วนต่าง ๆ เช่น หน่วยคำนวณ (ALU) หรือรีจิสเตอร์ เพื่อดำเนินการตามที่คำสั่งระบุ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคำสั่งบอกให้บวกตัวเลขสองตัว Control Unit จะสั่งให้หน่วยคำนวณทำการบวก และหลังจากได้ผลลัพธ์ ก็สั่งให้บันทึกผลลงในหน่วยความจำหรือรีจิสเตอร์
Control Unit ยังทำงานสอดคล้องกับจังหวะของสัญญาณนาฬิกา (Clock Signal) เพื่อให้แต่ละส่วนในระบบทำงานพร้อมกันอย่างถูกต้อง และเมื่อมีเหตุการณ์พิเศษ เช่น การขัดจังหวะจากผู้ใช้หรืออุปกรณ์ภายนอก หน่วยควบคุมจะจัดการเหตุการณ์นั้นก่อน แล้วกลับมาดำเนินการตามคำสั่งเดิมต่อ
พูดง่าย ๆ หน่วยควบคุมคือส่วนสำคัญที่ทำให้ไมโครโปรเซสเซอร์ทำงานได้อย่างราบรื่น โดยสั่งการให้ทุกส่วนทำงานประสานกันอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

กระบวนการทำงานของ Control Unit สามารถแบ่งออกได้ตามลำดับ ดังนี้
1. การดึงคำสั่ง (Fetch)
CPU จะเริ่มจาก Program Counter (PC) ที่ทำหน้าที่ชี้ไปยังตำแหน่งในหน่วยความจำที่เก็บคำสั่งที่จะทำงานถัดไป เมื่อ CPU รู้ตำแหน่งนั้นแล้ว, Control Unit จะไปดึงคำสั่งจากที่นั้นและเก็บไว้ใน Instruction Register (IR) เพื่อที่จะเตรียมแปลความหมายของคำสั่งในขั้นตอนถัดไป หลังจากดึงคำสั่งเสร็จแล้ว, PC จะเพิ่มค่าโดยอัตโนมัติ เพื่อที่จะชี้ไปยังคำสั่งถัดไปในหน่วยความจำเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้คำสั่งนั้น
ในการดึงคำสั่ง (Fetch) กระบวนการนี้จะเกี่ยวข้องกับการใช้สัญญาณ Memory Read
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ Control Unit สามารถดึงข้อมูลคำสั่งจากหน่วยความจำได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
เมื่อ CPU เริ่มทำการ Fetch คำสั่งจากหน่วยความจำ, ขั้นตอนนี้จะดำเนินการตามลำดับดังนี้:
🦾Program Counter (PC) จะชี้ไปยังตำแหน่งในหน่วยความจำที่คำสั่งถัดไปเก็บอยู่ โดยค่าใน PC จะบ่งบอกถึงที่อยู่ในหน่วยความจำที่คำสั่งถัดไปสามารถพบได้
🦾 Memory Read: เมื่อ CPU ทราบตำแหน่งคำสั่งที่ต้องการดึงจากหน่วยความจำ, Control Unit จะสร้างสัญญาณ Memory Read
ซึ่งจะถูกส่งไปยังหน่วยความจำ
- สัญญาณ
Memory Read
นี้จะบอกให้หน่วยความจำทราบว่า CPU ต้องการให้ข้อมูลจากตำแหน่งที่ PC ชี้ไปนั้นถูกดึงขึ้นมา - ในระหว่างนี้,
Memory Read
จะทำหน้าที่ควบคุมการส่งข้อมูลจากตำแหน่งในหน่วยความจำไปยัง Instruction Register (IR) ของ CPU เพื่อเตรียมคำสั่งสำหรับขั้นตอนถัดไป
🦾 Instruction Register (IR): หลังจากที่ข้อมูลจากหน่วยความจำถูกส่งมาถึง CPU, คำสั่งนั้นจะถูกเก็บไว้ใน IR ซึ่งเป็นที่จัดเก็บคำสั่งที่ได้ถูกดึงขึ้นมา
🦾 Incrementing Program Counter (PC): เมื่อคำสั่งถูกดึงมาแล้ว, Control Unit จะทำการเพิ่มค่าใน PC อัตโนมัติเพื่อให้ PC ชี้ไปยังตำแหน่งคำสั่งถัดไปในหน่วยความจำ เมื่อถึงเวลาที่ CPU จะต้องใช้คำสั่งนั้น
การใช้สัญญาณ Memory Read
นี้จึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ CPU สามารถดึงคำสั่งจากหน่วยความจำอย่างถูกต้องและทันเวลา ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการการประมวลผลคำสั่งที่ตามมาภายใน Control Unit
2. การถอดรหัสคำสั่ง (Decode)
เมื่อคำสั่งถูกโหลดเข้าสู่ Instruction Register (IR) แล้ว, Control Unit จะเริ่มกระบวนการถอดรหัสคำสั่งโดยใช้ Instruction Decoder ซึ่งจะทำหน้าที่แปลความหมายของคำสั่งที่ถูกเก็บใน IR ว่าต้องการให้ CPU ทำงานอย่างไร การถอดรหัสคำสั่งนี้จะช่วยให้ CPU รู้ว่าคำสั่งนี้ต้องการให้ทำอะไร เช่น:
- การคำนวณ: ถ้าคำสั่งเป็นการคำนวณ เช่น การบวกหรือลบตัวเลข, Control Unit จะสั่งให้ ALU (Arithmetic Logic Unit) ทำการคำนวณตามคำสั่ง
- การย้ายข้อมูล: หากคำสั่งเป็นการย้ายข้อมูล เช่น การคัดลอกข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง, Control Unit จะสั่งให้หน่วยความจำหรือรีจิสเตอร์ทำการโหลดหรือเขียนข้อมูลตามคำสั่ง
- การกระโดดไปยังคำสั่งใหม่: ในบางกรณี, คำสั่งอาจจะบอกให้ CPU กระโดดไปยังตำแหน่งคำสั่งอื่นในหน่วยความจำ (เช่น การทำงานแบบวนซ้ำหรือการทำงานเงื่อนไข) ซึ่งจะทำให้ Control Unit แก้ไขค่าใน Program Counter (PC) เพื่อไปชี้ตำแหน่งของคำสั่งใหม่ที่ต้องการให้ทำงาน
ในการถอดรหัสคำสั่งนี้, Instruction Decoder จะทำงานร่วมกับ Control Logic ที่สร้าง Control Signals ที่เหมาะสมตามคำสั่งที่ถูกถอดรหัสไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เช่น ALU, หน่วยความจำ, หรือ รีจิสเตอร์ เพื่อให้แต่ละส่วนทำงานตามคำสั่งที่ได้รับ
🏴 บทบาทของ Instruction Decoder และ Control Logic:
⦿ Instruction Decoder: รับข้อมูลคำสั่งจาก Instruction Register (IR) และทำการแยกฟิลด์ต่าง ๆ เช่น Opcode, Operand, และ Addressing Mode ตามที่ Instruction Set Architecture (ISA) กำหนด เพื่อให้ CPU รู้ว่าคำสั่งนี้จะทำการคำนวณ, ย้ายข้อมูล หรือกระโดดไปยังที่อยู่ใหม่
⦿ Control Logic: รับข้อมูลจาก Instruction Decoder เพื่อสร้าง Control Signals ที่เหมาะสม ซึ่งจะถูกส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เช่น:
- ถ้าเป็นคำสั่งการคำนวณ, Control Signals จะถูกส่งไปที่ ALU เพื่อให้ทำการคำนวณ
- ถ้าเป็นคำสั่งการย้ายข้อมูล, Control Signals จะถูกส่งไปที่ หน่วยความจำ หรือ รีจิสเตอร์ เพื่อให้ทำการโหลดหรือเขียนข้อมูล
- ถ้าเป็นคำสั่งการกระโดด, Control Logic จะส่งสัญญาณไปที่ Program Counter (PC) เพื่อให้ชี้ไปยังคำสั่งใหม่ที่ต้องการให้ทำงาน
🏴 บทบาทของ Instruction Set Architecture (ISA) ในการถอดรหัสคำสั่ง:
ISA มีบทบาทสำคัญในขั้นตอนการถอดรหัสคำสั่ง (Decode) เพราะเป็นตัวกำหนดรูปแบบและโครงสร้างของคำสั่งที่ CPU สามารถเข้าใจได้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการแยกฟิลด์ต่าง ๆ ในคำสั่งที่ถูกรับเข้ามาใน Instruction Register (IR) และการทำงานของ Instruction Decoder ในการแปลความหมายของคำสั่งเหล่านั้น นอกจากนี้ Control Unit จะใช้ข้อมูลจาก ISA เพื่อส่งสัญญาณควบคุมที่เหมาะสมไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เช่น ALU, หน่วยความจำ, หรือ รีจิสเตอร์
⦿ การกำหนดรูปแบบคำสั่ง: ISA กำหนดความยาวของคำสั่งและวิธีการจัดระเบียบข้อมูลภายในคำสั่ง เช่น ขนาดของคำสั่งอาจเป็น 16, 32 หรือ 64 บิต ซึ่งช่วยให้ Instruction Decoder ทราบว่าต้องทำการแยกฟิลด์ต่าง ๆ ในคำสั่งออกจากกันได้อย่างไร เช่น:
- Opcode (ตัวระบุคำสั่ง)
- Operand (ข้อมูลหรือที่อยู่ที่คำสั่งจะใช้)
- Addressing Mode (วิธีการเข้าถึงข้อมูล)
เมื่อคำสั่งถูกโหลดเข้าไปใน Instruction Register (IR), ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแยกออกโดย Instruction Decoder ซึ่งจะใช้โครงสร้างที่กำหนดโดย ISA เพื่อถอดรหัสคำสั่งได้อย่างถูกต้อง
🏴 ฟิลด์ต่าง ๆ ในคำสั่งตามที่กำหนดใน ISA:
- Opcode: ระบุว่า CPU ต้องทำอะไร เช่น การคำนวณ, การย้ายข้อมูล, หรือการกระโดดคำสั่ง
- Operand: ระบุข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการประมวลผลหรือที่อยู่ในหน่วยความจำที่คำสั่งจะทำงานกับ
- Address: ระบุที่อยู่ของข้อมูลที่จะถูกเข้าถึง
🏴 การใช้ข้อมูลจาก ISA ในการถอดรหัสคำสั่ง:
เมื่อคำสั่งมาถึง Instruction Decoder, ISA จะเป็นตัวช่วยในการแยกฟิลด์ต่าง ๆ ของคำสั่ง โดยตัว Instruction Decoder จะใช้ข้อมูลจาก ISA เพื่อระบุว่าแต่ละฟิลด์ในคำสั่งมีความหมายอย่างไร และทำการถอดรหัสออกมาเป็นการกระทำที่ CPU ต้องทำ เช่น:
- หากคำสั่งมี opcode ที่ระบุให้ทำการคำนวณ, Instruction Decoder จะสั่งให้ ALU ทำการคำนวณ
- หากคำสั่งมี operand ที่ต้องการให้ย้ายข้อมูล, Instruction Decoder จะส่งสัญญาณให้ หน่วยความจำ หรือ รีจิสเตอร์ ทำการโหลดหรือเขียนข้อมูล
🏴 การสร้างสัญญาณควบคุมตามคำสั่งที่ถอดรหัส:
เมื่อ Instruction Decoder ถอดรหัสคำสั่งเสร็จแล้ว, Control Unit จะใช้ข้อมูลที่ได้จาก ISA เพื่อสร้าง Control Signals ที่เหมาะสมไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เช่น ALU, หน่วยความจำ, หรือ รีจิสเตอร์ เพื่อให้การทำงานของคำสั่งเป็นไปตามที่ถอดรหัสได้ ตัวอย่างเช่น:
- หากคำสั่งเป็นคำสั่งการบวก (เช่น ADD), Opcode จะบอกให้ ALU ทำการคำนวณผลบวกระหว่างสองตัวเลขที่เก็บในรีจิสเตอร์. ในกรณีนี้, Control Unit จะส่งสัญญาณให้ ALU ดำเนินการคำนวณผลบวก และหลังจากนั้นอาจจะส่งผลลัพธ์ไปยัง รีจิสเตอร์ หรือ หน่วยความจำ ต่อไป
ISA ไม่เพียงแค่กำหนดวิธีการจัดระเบียบคำสั่งในหน่วยความจำ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการถอดรหัสคำสั่งใน Instruction Decoder และการสร้าง Control Signals ที่จะควบคุมการทำงานของ ALU, หน่วยความจำ, และส่วนอื่น ๆ ของ CPU เพื่อให้สามารถดำเนินการตามคำสั่งที่ได้รับมาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
เมื่อถอดรหัสคำสั่งเสร็จแล้ว, Control Unit จะสร้างและส่ง Control Signals ไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เช่น ALU, หน่วยความจำ, หรือ รีจิสเตอร์ เพื่อให้แต่ละส่วนสามารถทำงานได้ตามคำสั่งที่ได้รับจากการถอดรหัส และทำให้การทำงานของโปรแกรมเป็นไปตามลำดับที่กำหนด
Control Unit (CU) เป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผลใน CPU เพราะมันทำหน้าที่ควบคุมทุกกระบวนการที่เกิดขึ้น เช่น การกำหนดลำดับการทำงาน การจัดการการไหลของข้อมูล การตอบสนองต่อเหตุการณ์พิเศษ และการสร้างสัญญาณควบคุมต่าง ๆ ให้กับหน่วยอื่น ๆ ในระบบ เพื่อให้การทำงานของ CPU เป็นไปตามที่โปรแกรมต้องการและมีประสิทธิภาพสูงสุด
3. ควบคุมการประมวลผล (Execute)
ขั้นตอนนี้ Control Unit จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณควบคุมไปยังส่วนต่าง ๆ ของระบบเพื่อให้ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับจากขั้นตอนการถอดรหัสคำสั่ง (Decode) โดยสัญญาณเหล่านี้จะเป็นการบอกให้แต่ละส่วนใน CPU ทำงานตามที่คำสั่งนั้นระบุไว้ ตัวอย่างเช่น:
- ถ้าคำสั่งเป็นการคำนวณ: หากคำสั่งที่ได้ระบุให้ทำการคำนวณ เช่น การบวกตัวเลขสองตัว Control Unit จะส่งสัญญาณไปที่ ALU (Arithmetic Logic Unit) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่คำนวณ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร หรือการดำเนินการทางตรรกะ (AND, OR) เมื่อ ALU ได้รับสัญญาณนี้ ก็จะทำการประมวลผลตามคำสั่ง เช่น การบวกเลขสองตัวที่ส่งมาจากรีจิสเตอร์ แล้วส่งผลลัพธ์กลับไปยังที่ที่เหมาะสม เช่น รีจิสเตอร์หรือหน่วยความจำ
- ถ้าคำสั่งเป็นการย้ายข้อมูล: หากคำสั่งคือการย้ายข้อมูล เช่น การคัดลอกข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่น จากรีจิสเตอร์ไปยังหน่วยความจำ หรือจากหน่วยความจำไปยังรีจิสเตอร์ Control Unit จะส่งสัญญาณไปยัง รีจิสเตอร์ หรือ หน่วยความจำ ให้ดำเนินการโหลดหรือเขียนข้อมูลตามคำสั่งนั้น เช่น การย้ายข้อมูลจากตำแหน่งหนึ่งในหน่วยความจำไปยังรีจิสเตอร์ที่กำหนด
การควบคุมการประมวลผลนี้สำคัญมาก เพราะมันทำให้แต่ละส่วนของ CPU ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับจาก Control Unit ซึ่งช่วยให้โปรแกรมทำงานได้ตามลำดับที่กำหนด หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม การประมวลผลจะไม่สามารถทำงานได้ถูกต้องตามที่โปรแกรมต้องการ นอกจากนี้ การส่งสัญญาณควบคุมที่ถูกต้องยังช่วยให้ CPU สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วขึ้น เพราะแต่ละส่วนจะทำงานได้อย่างถูกต้องและในเวลาเดียวกัน.
บทบาทสำคัญของ Control Unit (CU) ในการทำงานของ CPU มีบทหลายในหลายแง่มุมที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้การทำงานของโปรแกรมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
1. ควบคุมลำดับการทำงาน (Sequencing)
Control Unit มีหน้าที่หลักในการกำหนดลำดับการทำงานของคำสั่งทุกคำในโปรแกรมเพื่อให้การประมวลผลเป็นไปตามลำดับที่ถูกต้อง โดยต้องมั่นใจว่าการทำงานแต่ละขั้นตอนไม่ทับซ้อนกัน เช่น การใช้เทคนิค Pipelining ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้ CPU สามารถทำงานหลายคำสั่งได้พร้อมกัน (เช่น การดึงคำสั่งใหม่ในขณะที่กำลังประมวลผลคำสั่งเดิมอยู่) Control Unit จะต้องประสานงานระหว่างขั้นตอนเหล่านี้เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้การประมวลผลรวดเร็วขึ้นโดยไม่สูญเสียความถูกต้อง
การใช้ Pipelining เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การประมวลผลหลายคำสั่งสามารถดำเนินการได้พร้อมกัน, โดยแต่ละขั้นตอนในกระบวนการประมวลผลของคำสั่งจะทำงานพร้อมกัน เช่น การดึงคำสั่ง, การถอดรหัสคำสั่ง, การประมวลผลคำสั่ง และการบันทึกผลลัพธ์. เทคนิคนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการประมวลผลคำสั่งโดยไม่ต้องรอให้แต่ละขั้นตอนเสร็จสมบูรณ์ก่อนจะเริ่มขั้นตอนถัดไป.
อย่างไรก็ตาม, การใช้งาน Pipelining จำเป็นต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่าง Control Unit และส่วนอื่น ๆ ใน CPU เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการชนกันของข้อมูล (Data Hazard) และการขัดแย้งในลำดับการทำงาน (Control Hazard). Control Unit จะต้องจัดการให้คำสั่งต่าง ๆ ไม่เกิดความขัดแย้งในการดำเนินการ, เพื่อให้ระบบสามารถประมวลผลคำสั่งหลายคำได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ในกระบวนการ ควบคุมลำดับการทำงาน (Sequencing) ของ CPU บทบาทของ Control Unit (CU) ไม่เพียงแค่การกำหนดลำดับการทำงานของคำสั่งต่าง ๆ ในโปรแกรม แต่ยังเกี่ยวข้องกับการควบคุม เวลาการทำงาน ของขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการประมวลผล ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญในการทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
หนึ่งในวิธีหลักที่ Control Unit ใช้ในการควบคุมเวลาและลำดับการทำงานคือ การใช้ clock cycles หรือ สัญญาณนาฬิกา ซึ่งจะช่วยในการจัดการเวลาของแต่ละขั้นตอนในกระบวนการประมวลผลคำสั่ง เช่น:
⦿ การควบคุมเวลาการทำงาน
- ในระบบคอมพิวเตอร์ที่มี clock cycles, Control Unit จะกำหนดว่าคำสั่งใดจะเริ่มทำงานเมื่อใด โดยจะใช้สัญญาณนาฬิกาเพื่อระบุเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มทำงานของแต่ละขั้นตอน เช่น การดึงคำสั่ง (Fetch), การถอดรหัสคำสั่ง (Decode), และการประมวลผลคำสั่ง (Execute)
- แต่ละขั้นตอนในกระบวนการประมวลผลต้องใช้ หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่ง clock cycle เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ การกำหนดเวลาในการทำงานนี้ทำให้โปรแกรมสามารถทำงานอย่างราบรื่น โดยไม่เกิดการชนกันหรือความล่าช้าในระหว่างขั้นตอนต่าง ๆ
- ตัวอย่างเช่น การใช้ pipeline ช่วยให้การประมวลผลคำสั่งหลายคำสั่งสามารถดำเนินการได้พร้อมกัน โดยที่คำสั่งแต่ละคำจะทำงานในขั้นตอนที่ต่างกัน แต่ยังสามารถใช้งานในเวลาเดียวกันได้อย่างมีระเบียบ
⦿ การประสานงานระหว่างขั้นตอนต่าง ๆ:
- Control Unit จะทำการควบคุม การไหลของข้อมูล ในระหว่างแต่ละขั้นตอน เช่น การส่งข้อมูลจาก memory ไปยัง ALU หรือการย้ายข้อมูลไปยัง register โดยให้แต่ละขั้นตอนทำงานในเวลาที่ถูกต้องภายใต้ clock cycle ที่กำหนด
- การจัดการเวลาของแต่ละขั้นตอนนี้ช่วยป้องกันการชนกันของข้อมูลระหว่างขั้นตอน เช่น การที่คำสั่งถัดไปอาจต้องใช้ข้อมูลจากคำสั่งก่อนหน้า
⦿ การใช้ Clock Cycle สำหรับการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ:
- ในการประมวลผลหลายคำสั่งพร้อมกัน (ด้วยการใช้เทคนิค Pipelining), Control Unit จะต้องทำงานร่วมกับ คาบเวลาของสัญญาณนาฬิกา เพื่อทำให้แต่ละคำสั่งดำเนินการได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยไม่ทับซ้อนกัน
- หากไม่มีการควบคุมเวลาที่เหมาะสม ข้อมูลอาจถูกส่งไปยังส่วนที่ผิดพลาดในเวลาเดียวกัน หรือคำสั่งอาจถูกประมวลผลในลำดับที่ผิดพลาด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณหรือการทำงานของโปรแกรม
โดยรวมแล้ว, บทบาทของ Control Unit ในการควบคุมเวลาการทำงานของขั้นตอนต่าง ๆ ในการประมวลผลมีความสำคัญมากในการทำให้ CPU ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว การใช้ clock cycles ช่วยให้สามารถควบคุมการทำงานของแต่ละคำสั่งได้ตามลำดับที่ถูกต้อง และการประสานงานระหว่างแต่ละขั้นตอนก็ช่วยให้การประมวลผลทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. จัดการการไหลของข้อมูล (Data Flow)
Control Unit (CU) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและควบคุมการไหลของข้อมูลภายใน CPU เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามคำสั่งที่ได้รับ โดยใช้ Multiplexers (MUX) และ Bus Control เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการข้อมูลเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
⦿ การใช้ Multiplexers (MUX)
Multiplexer (MUX) คืออุปกรณ์ที่เลือกข้อมูลจากหลายแหล่งแล้วส่งไปยังจุดที่ต้องการเพียงจุดเดียว ซึ่งภายใน CPU MUX จะช่วยเลือกแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อส่งไปยัง ALU, registers, หรือ memory ตามคำสั่งจาก Control Unit ตัวอย่างการใช้งานมีดังนี้:
- MUX สำหรับ Input ของ ALU: ข้อมูลที่ส่งไปยัง ALU จะมาจาก register หรือ memory ขึ้นอยู่กับคำสั่งจาก Control Unit โดย MUX จะเลือกแหล่งข้อมูลที่ต้องการส่งไปยัง ALU เพื่อทำการคำนวณ เช่น การบวกหรือลบ
- MUX สำหรับ Output จาก ALU: เมื่อ ALU คำนวณเสร็จแล้ว, MUX จะเลือกเส้นทางในการส่งผลลัพธ์ไปยัง register หรือ memory ซึ่ง Control Unit จะตัดสินใจว่า ผลลัพธ์จาก ALU ควรเก็บไว้ที่ไหน เช่น ถ้าผลลัพธ์ต้องใช้ในการคำนวณถัดไป อาจเก็บไว้ใน register ที่กำหนด
⦿ การควบคุม Bus Control
ภายใน CPU ข้อมูลจะถูกส่งผ่าน Bus ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่าง registers, ALU, memory และ I/O devices การควบคุมการไหลของข้อมูลใน Bus จะถูกจัดการโดย Control Unit โดยการใช้สัญญาณควบคุมทั้งใน data bus และ address bus:
- Data Bus Control: เมื่อ Control Unit ต้องการให้ข้อมูลถูกส่งจาก memory ไปยัง register หรือจาก register ไปยัง ALU, ข้อมูลจะต้องผ่าน data bus โดย Control Unit จะส่งสัญญาณควบคุมเพื่อเลือกเส้นทางการส่งข้อมูล เช่น การส่งข้อมูลจาก memory ไปยัง register หรือจาก register ไปยัง ALU
- Address Bus Control: Control Unit จะกำหนดตำแหน่งของข้อมูลใน memory หรือ register โดยใช้ address bus เพื่อเลือกที่อยู่ที่ข้อมูลจะถูกเก็บหรือดึงออกมา เช่น การโหลดข้อมูลจาก memory ไปยัง register
⦿ การควบคุมการไหลของข้อมูลในกรณีต่าง ๆ
- การย้ายข้อมูลจากรีจิสเตอร์ไปยัง ALU: Control Unit จะส่งสัญญาณควบคุมไปที่ MUX เพื่อเลือกข้อมูลจาก register ที่ต้องการแล้วส่งไปยัง ALU ผ่าน data bus เพื่อทำการคำนวณตามคำสั่งที่ได้รับ และเมื่อ ALU ประมวลผลเสร็จ, ผลลัพธ์จะถูกส่งกลับไปยัง register หรือ memory ผ่าน MUX และ data bus
- การย้ายข้อมูลจาก memory ไปยัง register: เมื่อคำสั่งต้องการโหลดข้อมูลจาก memory ไปยัง register, Control Unit จะใช้ address bus เพื่อเลือกตำแหน่งใน memory ที่ข้อมูลถูกเก็บ และส่งข้อมูลผ่าน MUX ไปยัง register
⦿ สรุปบทบาทของ Control Unit ในการจัดการการไหลของข้อมูล
- การเลือกแหล่งข้อมูล: Control Unit ใช้ MUX ในการเลือกแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อลำเลียงข้อมูลไปยัง ALU, register, หรือ memory ตามคำสั่งที่ได้รับ
- การควบคุมการไหลของข้อมูลผ่าน Bus: Control Unit สร้างสัญญาณควบคุมเพื่อกำหนดเส้นทางของข้อมูลผ่าน data bus และ address bus เพื่อให้การส่งข้อมูลระหว่าง ALU, registers, และ memory เป็นไปตามลำดับที่ถูกต้อง
- การควบคุมการส่งข้อมูล: โดยใช้ address bus และ data bus, Control Unit จะกำหนดจุดหมายปลายทางของข้อมูลที่ควรส่ง เช่น จาก memory ไปยัง register หรือจาก ALU ไปยัง register
การใช้ MUX และ Bus Control ร่วมกับสัญญาณควบคุมจาก Control Unit ช่วยให้การไหลของข้อมูลภายใน CPU เป็นไปตามคำสั่งที่ได้รับ ทำให้การทำงานของ CPU มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งระหว่างการใช้งานข้อมูลในส่วนต่าง ๆ
3. การตอบสนองต่อเหตุการณ์พิเศษ (Interrupt Handling)
Control Unit (CU) มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อเหตุการณ์พิเศษ (Interrupt) ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงานของ CPU โดยการจัดการ Interrupt ช่วยให้ระบบสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ภายนอกได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้การประมวลผลคำสั่งหลักหยุดชะงัก
⦿ การจัดการ Interrupt
เมื่อเกิดเหตุการณ์พิเศษ เช่น การป้อนข้อมูลจากผู้ใช้หรือการแจ้งเตือนจากอุปกรณ์ภายนอก Control Unit จะต้องหยุดการทำงานของคำสั่งที่กำลังดำเนินการอยู่ชั่วคราว เพื่อให้สามารถจัดการกับเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้กดปุ่มบนคีย์บอร์ด หรือเมื่อเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ I/O แจ้งเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การตอบสนองนี้ช่วยให้ CPU สามารถจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องรอให้คำสั่งหลักเสร็จสิ้นก่อน
การตอบสนองนี้จะทำให้ CPU สามารถจัดการกับเหตุการณ์พิเศษได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
⦿ กระบวนการของ Interrupt Service Routine (ISR)
เมื่อเกิด Interrupt ขึ้น Control Unit จะทำตามขั้นตอนดังนี้:
- เมื่อเกิด Interrupt ขึ้น, Control Unit จะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:
- หยุดการประมวลผลคำสั่งปัจจุบัน: เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อ Interrupt ได้, Control Unit จะหยุดการทำงานของคำสั่งที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนั้นทันที
- บันทึกค่าของ Program Counter (PC): Program Counter (PC) คือค่าที่บ่งชี้ตำแหน่งของคำสั่งที่กำลังประมวลผลอยู่ในขณะนั้น ซึ่ง Control Unit จะบันทึกค่า PC นี้ไว้ใน Stack หรือ Memory เพื่อให้สามารถกลับมาทำงานต่อจากจุดเดิมได้หลังจากการจัดการ Interrupt เสร็จสิ้น
- เรียกใช้ Interrupt Service Routine (ISR): หลังจากที่หยุดการประมวลผลคำสั่งปัจจุบันและบันทึกค่า PC แล้ว, Control Unit จะเรียกใช้ Interrupt Service Routine (ISR) ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
- จัดการกับเหตุการณ์: ISR จะทำการประมวลผลและจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอก หรือการตอบสนองต่อการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้
- กลับสู่การทำงานปกติ: เมื่อ ISR จัดการกับเหตุการณ์เสร็จสิ้น, Control Unit จะเรียกคืนค่า PC ที่บันทึกไว้และกลับมาทำงานต่อจากจุดเดิมที่ถูกหยุดไว้ก่อนหน้านั้น
⦿ การเก็บค่า Program Counter (PC) ในระหว่างการจัดการ Interrupt
การเก็บค่า Program Counter (PC) ในระหว่างการจัดการ Interrupt เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยให้ระบบสามารถกลับมาทำงานต่อจากจุดเดิมได้หลังจากที่เสร็จสิ้นการจัดการ Interrupt แล้ว โดย Control Unit จะบันทึกค่า PC ไว้ใน Stack หรือ Memory เพื่อให้สามารถดึงค่า PC กลับมาใช้งานได้ในภายหลัง
⦿ การจัดการ Maskable และ Non-Maskable Interrupts
ในกระบวนการจัดการ Interrupt, Control Unit ต้องจัดการกับ Maskable Interrupts (IRQ) และ Non-Maskable Interrupts (NMI) ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน:
- Maskable Interrupts (IRQ): เป็น Interrupts ที่สามารถปิดการตอบสนองได้โดยการใช้การตั้งค่าบิตใน Interrupt Mask Register (IMR) ซึ่งอนุญาตให้ Control Unit เลือกที่จะไม่ตอบสนองต่อ Interrupt เหล่านี้ในบางสถานการณ์
- Non-Maskable Interrupts (NMI): เป็น Interrupts ที่ไม่สามารถปิดการตอบสนองได้ โดย Control Unit จะต้องตอบสนองทันทีเพื่อจัดการกับเหตุการณ์ที่สำคัญหรืออันตราย เช่น การแจ้งเตือนความผิดปกติของระบบในการจัดการ Interrupt
Control Unit มีบทบาทสำคัญในการจัดการ Interrupt โดยทำหน้าที่หยุดการทำงานของคำสั่งปัจจุบัน, บันทึกค่า Program Counter (PC), เรียกใช้ Interrupt Service Routine (ISR) เพื่อจัดการกับเหตุการณ์พิเศษ และสุดท้ายจะกลับมาทำงานตามปกติจากจุดเดิมที่หยุดไว้ การจัดการ Interrupt ช่วยให้ CPU สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ภายนอกได้อย่างรวดเร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการจัดการ interrupt มีประโยชน์สรุปได้ดังนี้
- การตอบสนองทันที: ระบบสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ภายนอกได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้การประมวลผลคำสั่งปัจจุบันเสร็จสิ้น
- การประมวลผลที่ไม่หยุดชะงัก: หลังจากจัดการ Interrupt เสร็จสิ้น, ระบบสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติจากจุดเดิม โดยไม่สูญเสียข้อมูลหรือสถานะการทำงานของโปรแกรมหลัก
การตอบสนองต่อ Interrupt ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ CPU ทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและสามารถจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ในเวลาที่เหมาะสม
4. สร้างสัญญาณควบคุม (Control Signals)
Control Unit (CU) มีบทบาทสำคัญในการสร้างและส่งสัญญาณควบคุมไปยังส่วนต่าง ๆ ของ CPU เพื่อให้ส่วนประกอบต่าง ๆ ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับ เช่น การคำนวณ, การย้ายข้อมูล, หรือการจัดการข้อมูลภายในหน่วยความจำ โดยการควบคุมสัญญาณเหล่านี้ทำให้ระบบทำงานได้อย่างมีระเบียบและมีประสิทธิภาพ
⦿ การสร้างสัญญาณควบคุมใน CPU
เมื่อ Control Unit ได้รับคำสั่งจาก Instruction Register (IR) มันจะต้องสร้างและส่งสัญญาณควบคุมไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของ CPU เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งที่ระบุ ตัวอย่างเช่น:
- คำสั่งการคำนวณ: เมื่อคำสั่งที่ได้รับคือการคำนวณ เช่น การบวกตัวเลข Control Unit จะส่งสัญญาณควบคุมไปยัง Arithmetic Logic Unit (ALU) เพื่อให้ ALU ทำการคำนวณตามคำสั่งที่ได้รับ เช่น การบวกตัวเลขสองตัว
- คำสั่งการย้ายข้อมูล: เมื่อคำสั่งที่ได้รับคือการย้ายข้อมูล เช่น การคัดลอกข้อมูลจาก รีจิสเตอร์ ไปยัง หน่วยความจำ (Memory) หรือในทางกลับกัน, Control Unit จะส่งสัญญาณให้ รีจิสเตอร์ ส่งข้อมูลไปยัง หน่วยความจำ หรือ หน่วยความจำ ส่งข้อมูลกลับไปที่ รีจิสเตอร์ ตามคำสั่ง
⦿ การควบคุมสัญญาณในระบบที่มีหลายคอร์ (Multi-Core)
ใน ระบบ Multi-Core, Control Unit จะต้องทำงานร่วมกับหลาย ๆ คอร์ที่ประมวลผลคำสั่งพร้อมกัน ซึ่งทำให้การจัดการ สัญญาณควบคุม ต้องมีความละเอียดและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละคอร์จะสามารถทำงานได้อย่างเป็นระเบียบและไม่เกิดความขัดแย้งในการประมวลผลคำสั่ง
ใน ระบบ Multi-Core, บทบาทของ Control Unit จะมีลักษณะดังนี้:
- การแบ่งงานระหว่างคอร์: Control Unit จะต้องรับผิดชอบในการแบ่งงานระหว่าง คอร์ ต่าง ๆ โดยการกำหนดว่าแต่ละคอร์จะรับผิดชอบในการประมวลผลคำสั่งไหน ซึ่งจะช่วยให้การประมวลผลคำสั่งดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
- การจัดการสัญญาณควบคุมระหว่างคอร์: Control Unit จะต้องส่งสัญญาณควบคุมไปยังคอร์ที่ถูกต้องตามลำดับ เพื่อให้แต่ละคอร์ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับ โดยไม่มีการขัดแย้งหรือชนกันระหว่างคอร์
- การแบ่งทรัพยากร: ในบางกรณี Control Unit ต้องทำหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรที่ใช้ร่วมกันระหว่างคอร์ เช่น หน่วยความจำ หรือ ALU เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งใช้ทรัพยากรที่อาจทำให้ระบบทำงานได้ช้าลง
⦿ ความท้าทายในการทำงานของ Control Unit ในระบบ Multi-Core
- การซิงโครไนซ์คำสั่ง: ในระบบที่มีหลายคอร์ Control Unit จะต้องดูแลและซิงโครไนซ์คำสั่งที่ส่งไปยังแต่ละคอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เช่น การส่งคำสั่งที่อาจต้องใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างคอร์
- การจัดการความขัดแย้งในการเข้าถึงหน่วยความจำ: ในกรณีที่หลายคอร์ต้องการเข้าถึง หน่วยความจำ หรือ ทรัพยากรอื่น ๆ พร้อมกัน, Control Unit ต้องมีระบบการจัดการเพื่อให้แต่ละคอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตามลำดับโดยไม่เกิดปัญหาการชนกันของข้อมูล
- การควบคุมความเร็วในการประมวลผล: Control Unit ต้องสามารถปรับเปลี่ยนการประมวลผลของแต่ละคอร์ให้เหมาะสมกับคำสั่งและโหลดงานที่ได้รับ เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของระบบได้สูงสุด
Control Unit ในระบบ Multi-Core มีบทบาทในการสร้างสัญญาณควบคุมที่ส่งไปยังคอร์ต่าง ๆ ของ CPU เพื่อให้แต่ละคอร์ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับ โดยต้องจัดการการแบ่งงานระหว่างคอร์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม และรับประกันว่าไม่มีความขัดแย้งระหว่างคอร์ในการเข้าถึง ทรัพยากร และ หน่วยความจำ ต่าง ๆ การทำงานของ Control Unit จะช่วยให้ระบบ Multi-Core สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
5. การทำงานร่วมกับหน่วยความจำ (Memory Interaction) และ การควบคุมการเข้าถึงหน่วยความจำ
การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยความจำเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของ Control Unit (CU) ใน CPU เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยความจำโดยตรงจะมีผลต่อประสิทธิภาพการประมวลผลคำสั่งทั้งหมด CU ต้องรับผิดชอบในการจัดการกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอ่านและเขียนข้อมูลระหว่างการประมวลผลคำสั่ง
⦿ การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำ
- การใช้ Cache Memory: หน่วยความจำ Cache เป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูง ซึ่งใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ถูกใช้บ่อยหรือข้อมูลที่คาดว่าจะถูกใช้งานในอนาคต วิธีการนี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลจาก หน่วยความจำหลัก (Main Memory) ซึ่งมีความช้ากว่าโดยทั่วไป ดังนั้น Control Unit (CU) จะต้องจัดการการเข้าถึงข้อมูลใน Cache ก่อน และหากข้อมูลไม่พบใน Cache จึงจะค้นหาจาก Main Memory ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Cache Hit หรือ Cache Miss
- Cache Hit: หากข้อมูลที่ต้องการถูกจัดเก็บใน Cache แล้ว, CU จะส่งคำสั่งเพื่อดึงข้อมูลจาก Cache ซึ่งใช้เวลาในการเข้าถึงน้อยมาก
- Cache Miss: หากข้อมูลไม่อยู่ใน Cache, CU จะส่งคำสั่งให้ค้นหาข้อมูลจาก Main Memory ซึ่งใช้เวลานานกว่า และในบางกรณีอาจทำให้ Control Unit ต้องจัดการการโหลดข้อมูลใหม่เข้าสู่ Cache
⦿ การจัดการการอ่านและเขียนข้อมูล:
- การอ่านข้อมูล: เมื่อ Control Unit พบว่าคำสั่งที่ได้รับต้องการอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ, มันจะต้องควบคุมให้มีการเข้าถึง Main Memory หรือ Cache เพื่อดึงข้อมูลที่ต้องการมาใช้งาน หากข้อมูลไม่อยู่ใน Cache, CU จะต้องสั่งให้ Memory Controller อ่านข้อมูลจาก Main Memory แล้วนำมาเก็บไว้ใน Cache เพื่อการเข้าถึงที่รวดเร็วในอนาคต
- การเขียนข้อมูล: เมื่อคำสั่งต้องการเขียนข้อมูล เช่น การอัพเดตค่าใน รีจิสเตอร์ หรือ หน่วยความจำ, Control Unit จะต้องตรวจสอบก่อนว่าเป้าหมายของการเขียนข้อมูลคือ Cache หรือ Main Memory และส่งสัญญาณที่ถูกต้องไปยัง Memory Controller เพื่อให้การเขียนข้อมูลดำเนินไปได้อย่างถูกต้อง โดยการเขียนข้อมูลอาจทำได้ทั้งแบบ Write-Through ซึ่งจะเขียนข้อมูลลงใน Cache และ Main Memory พร้อมกัน หรือ Write-Back ที่จะเขียนข้อมูลลงใน Cache ก่อนและอัปเดต Main Memory เมื่อข้อมูลใน Cache ถูกแทนที่
⦿ การควบคุมการเข้าถึงหน่วยความจำในระบบหลายคอร์ (Multi-Core): ในระบบที่มีหลายคอร์, Control Unit (CU) ของแต่ละคอร์ต้องทำงานร่วมกันในการเข้าถึงหน่วยความจำที่ใช้ร่วมกัน เช่น Cache หรือ Main Memory โดย Cache อาจมีการใช้งานในลักษณะของ Private Cache หรือ Shared Cache เพื่อให้แต่ละคอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและไม่เกิดความขัดแย้งในการอ่านเขียนข้อมูล
- Private Cache: คอร์แต่ละคอร์จะมี Cache ของตัวเอง
- Shared Cache: คอร์หลาย ๆ คอร์สามารถเข้าถึง Cache เดียวกันได้
การประสานงานระหว่าง CU ของแต่ละคอร์จะช่วยให้ระบบสามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดเวลาในการเข้าถึงข้อมูลจาก Main Memory อย่างมาก
Control Unit (CU) มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การจัดการการอ่านและเขียนข้อมูล และการใช้ Cache Memory เพื่อลดเวลาในการเข้าถึงข้อมูล ระบบ Multi-Core ยังเพิ่มความซับซ้อนในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลระหว่างคอร์ต่าง ๆ แต่ด้วยการประสานงานที่ดี, CU จะสามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำมีประสิทธิภาพสูงสุด, ลดการหน่วงเวลาในการประมวลผล, และเพิ่มความสามารถในการทำงานของระบบโดยรวม
“Alios mutare non possum; quod agere possum, est me ipsum mutare.”
“มิอาจเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ที่สามารถกระทำได้คือกับตัวข้าพเจ้าเอง”
Naturvirtus
II DecembrisMMXXIV